เกรดเหล็กเส้น SD30 SD40 SD50 SD30T SD40T SD50T SD40S SD50S เลือกใช้ตัวไหน ?
- บ้านสวนสบาย

- 16 พ.ค.
- ยาว 2 นาที
เกรดเหล็กเส้น SD30 SD40 SD50 SD30T SD40T SD50T SD40S SD50S เลือกใช้ตัวไหน ?
เหล็กเส้นงานก่อสร้างมี 2 ชนิด คือ เหล็กเส้นกลม( Round Bar ) และเหล็กข้ออ้อย ( Deformed Bar )
มาตรฐานเหล็กเส้นงานก่อสร้างในประเทศไทยใช้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก. ที่กำหนดโดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( Thai Industrial Standards Institute หรือ TISI ) โดยมาตรฐานเหล็กเส้นงานก่อสร้าง มีอยู่ 2 มาตราฐาน คือ มาตราฐานเหล็กเส้นกลม และ มาตรฐานเหล็กข้ออ้อย
มาตรฐานเหล็กเส้นกลม ต้องมีคุณสมบัติตาม มอก.20-2559 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กเส้นกลม โดยสามารถเข้าดูได้ลิ้งของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม https://www.tisi.go.th/data/standard/fulltext/TIS-20-2559p.pdf
ทั้งนี้ มอก.20-2559 กำหนดให้เหล็กเส้นกลมมี 1 ชั้นคุณภาพ หรือ 1 เกรด คือ SR24
SR24 ซึ่งหมายถึง Standard Round Bar ที่มีความต้านทานแรงดึง ณ จุดคราก ( Yield Strenght ) ไม่ต่ำกว่า 24 กก./ตร.มม.
มาตรฐานเหล็กข้ออ้อย ต้องมีคุณสมบัติตาม มอก.24-2559 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย
โดยสามารถเข้าดูได้ลิ้งของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม https://www.tisi.go.th/data/standard/fulltext/TIS-24-2559p.pdf
ทั้งนี้ มอก.24-2559 กำหนดให้เหล็กเส้นข้ออ้อยมี 3 ชั้นคุณภาพ หรือ 3 เกรด คือ SD30, SD40, SD50
โดยที่ SD30, SD40, SD50 หมายถึง Standard Deformed Bar ที่มีความต้านทานแรงดีง ณ จุดคราก ( Yield Strenght ) ไม่ต่ำกว่า 30, 40 และ 50 กก./ตร.มม ตามลำดับ
และถ้าจะให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ
เหล็กข้ออ้อยเกรด SD30 รับน้ำหนักได้ 3,000 กิโลกรัม ต่อ ตารางเซนติเมตร
เหล็กข้ออ้อยเกรด SD40 รับน้ำหนักได้ 4,000 กิโลกรัม ต่อ ตารางเซนติเมตร
เหล็กข้ออ้อยเกรด SD50 รับน้ำหนักได้ 5,000 กิโลกรัม ต่อ ตารางเซนติเมตร
ทั้งนี้การใช้เหล็กเส้นเกรด SD50 อาจทำให้ใช้งานเหล็กเส้นในโครงการลดลงได้มากสุดถึง 20%
อย่างไรก็ตามการเลือกใช้เกรด SD30 หรือ SD40 หรือ SD50 นั้น จะเป็นหน้าที่ของวิศวกรผู้ออกแบบเป็นผู้กำหนด ถ้าเจ้าของโครงการต้องการเลือกใช้เหล็กที่มีกำลังสูงขี้น เช่น SD50 ก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งวิศวกรผู้ออกแบบล่วงหน้าก่อนทำการออกแบบงานโครงสร้าง
สำหรับ SD30T SD40T SD50T นั้น ตัวอักษร T ที่ต่อท้ายจะหมายถึงเหล็กข้ออ้อยที่ผ่านกรรมวิธี Heat Treatment Rebar หรือ การนำเหล็กมาทำให้เย็นลงด้วยการสเปร์ยพ่นน้ำ แทนที่จะปล่อยให้เหล็กเย็นตัวลงเอง วิธีการนี้จะทำให้ที่ผิวของเหล็กแข็งกว่าด้านใน และทำให้มีการต้องเติมธาตุผสมคือ Carbon และ Manganese น้อยกว่าปกติ และสำหรับเหล็กเส้นที่ไม่มีสัญลักษณ์ T หรือที่เรียกกันว่าเหล็ก Non T นั้น เป็นเหล็กที่เพิ่มค่าเคมีบางตัวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเหล็ก เช่น คาร์บอน หรือ แมงกานีสในกระบวนการหลอม และหล่อออกมาเป็นเหล็กแท่ง หรือ Billet จากนั้นจะนำเหล็กแท่งไปอบ และรีดเป็นเหล็กเส้นข้ออ้อย โดยปล่อยให้เย็นตัวตามปกติ และไม่มีการสเปร์น้ำหรือผ่านกระบวนการทางความร้อนอื่นใดเพิ่มเติม ทำให้โครงสร้างของเหล็ก Non T จะเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด มีความแข็งแรงเท่ากันตลอดหน้าตัด ดังนั้นการทดสอบเหล็กชนิดนี้ทาง มอก.จึงอนุญาติให้กลึงลดขนาดเพื่อทดสอบได้ ซึ่งต่างจากเหล็กที่มีสัญลักษณ์ T ที่ทาง มอก.ไม่อนุญาติให้กลึงลดขนาดเพื่อทดสอบเพราะจะทำให้ผลทดสอบผิดเพี้ยนไป
ปัจจุบันการก่อสร้างหน่วยงานราชการอนุญาตให้ใช้เหล็ก SD30T SD40T SD50T ได้ ยกเว้นกรมทางหลวง เนื่องจากกรมทางหลวงกังวลว่าเหล็กที่มีการทำ Heat Treatment Rebar จะมีการล้า ( Fastigue ) ซึ่งอาจจะมีผลต่องานก่อสร้างถนน งานสะพาน และงานเขื่อน
สำหรับ SD40S และ SD50S นั้น ตัวอักษรตัว S ที่เพิ่มเข้าไปนั้น เป็นเหล็กที่เรียกว่า Super Ductile โดยผู้ผลิตอย่าง TATA Steel แจ้งว่ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าเหล็กข้ออ้อยทั่วไป 4 ข้อ คือ
1.ดัดง่ายกว่า ด้วยเนื้อเหล็กที่เหนียวมากกว่าเหล็กเส้นทั่วไปถึง 20% ช่วยให้ตัดโค้งได้มากกว่าโดยไม่แตกร้าว ซึ่งเป็นต้นเหตุของโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง
2.มีการยืดตัวที่ดีกว่า ทำให้การส่งผ่านแรงในเหล็กมีความสม่ำเสมอกว่าเหนือกว่าเหล็กทั่วไป โครงการก่อสร้างที่ใช้เหล็กเหนียวพิเศษ จะยืดตัวได้มากกว่าโครงสร้างที่ใช้เหล็กทั่วไปกว่า 15%
3. รับพลังงานได้มากกว่า พลังงานที่จะทำให้โครงสร้างพังทลายได้ เช่น จากแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม เป็นต้น โครงสร้างที่ใช้เหล็กเหนียวพิเศษจะรับพลังงานได้มากกว่าโครงสร้างที่ใช้เหล็กทั่วไปกว่า 25%
4.เทียบเท่ามาตรฐานต่างประเทศ ควบคุมคุณสมบัติให้สอดคล้องกับเหล็กเส้นเหนียวพิเศษ เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานสากล เช่น BS (อังกฤษ), SS (สิงคโปร์), EC2 (ยุโรป) และ ASTM (สหรัฐอเมริกา)
อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าของบ้านต้องการจะเลือกใช้ SD40S SD50S ก็จำเป็นต้องแจ้งวิศวกรผู้ออกแบบล่วงหน้า เพื่อที่วิศวกรจะได้ใช้คุณสมบัติของมันในการคำนวนเพื่อทำงานออกแบบโครงสร้าง

"อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า"
พุทธวจน

























